ถ่ายน้ำมันเครื่อง การดูแลรักษาเครื่องยนต์ที่หลายๆ คนมองข้าม การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องคืออะไร สำคัญอย่างไร แล้วควรเปลี่ยนเมื่อไหร่?
—————————————————————————————————–
การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องคืออะไร ควรเปลี่ยนเมื่อไหร่?
หากอยากให้รถยนต์มีสภาพที่ใหม่อยู่ตลอด มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ไม่ต้องเสียเงินซ่อมบ่อยๆ นอกจากการขับขี่อย่างระมัดระวัง การดูแลรักษาเครื่องยนต์ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของเครื่องยนต์เลยก็ว่าได้ วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับการถ่ายน้ำมันเครื่องให้มากขึ้น ไปดูกันว่า น้ำมันเครื่องมีประโยชน์อย่างไร แล้วควรเปลี่ยนเมื่อไหร่?
การถ่ายน้ำมันเครื่อง คืออะไร?
การถ่ายน้ำมันเครื่อง คือการเปลี่ยนเอาน้ำมันเครื่องเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วออก แล้วเติมน้ำมันเครื่องใหม่ลงไป เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งน้ำมันเครื่องเป็นส่วนที่ช่วยหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ น้ำมันเครื่องใหม่จะมีประสิทธิภาพในการช่วยลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ได้ดีกว่า
ทำไมต้องถ่ายน้ำมันเครื่อง?
น้ำมันเครื่องถือเป็นส่วนสำคัญในการทำงานของเครื่องยนต์ เมื่อถูกใช้ไปนานๆ ก็จะเกิดการเสื่อมสภาพ ทำให้น้ำมันเครื่องมีลักษณะสีเข้มและเหนียว บางครั้งมีตะกอนและคราบเขม่าต่างๆ ปะปนอยู่ด้วย จึงต้องทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เพื่อให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงการถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะที่กำหนดจะช่วยรักษาเครื่องยนต์ให้สะอาด และยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ได้ด้วย
ประโยชน์ของน้ำมันเครื่อง
- ช่วยลดสิ่งสกปรก เช่น ตะกอน เขม่าที่เกิดจากการเผาไหม้
- ช่วยลดแรงเสียดทานและการสึกหรอของเครื่องยนต์
- ช่วยในการหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์
- ช่วยป้องกันการกัดกร่อน และการเกิดสนิม
- ช่วยระบายความร้อนให้ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์
สาเหตุที่ทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพ
- การทำปฏิกิริยาทางเคมีกับความร้อนจากการจุดระเบิด
- สารเพิ่มคุณภาพที่ผสมในน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน
- มีสิ่งสกปรกจากการเผาไหม้และสึกหรอในเครื่องยนต์สะสมอยู่จำนวนมาก
- มีสารปนเปื้อน เช่น น้ำและความชื้น
เมื่อไหร่ ที่ควรถ่ายน้ำมันเครื่อง
โดยทั่วไป การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องจะดูได้จากหนังสือคู่มือรถแต่ละคันเป็นหลัก ส่วนใหญ่ ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ 6 เดือน หรือระยะทางประมาณ 5,000-7,000 กิโลเมตร รวมถึงหากรถยนต์มีความผิดปกติ เช่น เครื่องยนต์อืด เร่งเครื่องไม่ขึ้น เสียงเครื่องยนต์ดังกว่าปกติ เครื่องยนต์กินน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่าปกติ แสดงว่าถึงเวลาที่ต้องถ่ายน้ำมันเครื่องแล้ว แต่ในขณะเดียวกันระยะที่ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องก็ขึ้นอยู่กับชนิดน้ำมันเครื่องที่ใช้ด้วย เพราะน้ำมันเครื่องแต่ละชนิดจะมีอายุการใช้งานและระยะเวลาที่แตกต่างกัน
น้ำมันเครื่อง มีกี่ประเภท
ในปัจจุบันน้ำมันเครื่องมีให้เลือกหลายแบบหลายยี่ห้อ หากแบ่งชนิดของน้ำมันเครื่องตามท้องตลาด จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดหลักๆ คือ
1. น้ำมันเครื่องธรรมดา (Mineral Oil)
เป็นน้ำมันเครื่องที่ได้จากการกลั่นน้ำมันดิบ มาจากธรรมชาติ 100% น้ำมันเครื่องชนิดนี้จะมีราคาถูกที่สุด ใช้ได้กับรถยนต์ทั่วไป ระยะการใช้งานจะอยู่ที่ 5,000 – 7,000 กิโลเมตรโดยประมาณ
2. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic)
เป็นน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ผสมกับน้ำมันจากธรรมชาติ ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ โดยเฉพาะรถที่ใช้เครื่องยนต์มัลติวาล์วและระบบหัวฉีดอิเล็คทรอนิกส์ เพราะเป็นน้ำมันเครื่องที่ทนความร้อนได้สูง มีคุณสมบัติที่ดีขึ้นกว่าน้ำมันเครื่องธรรมดาทั่วไป ในขณะที่ราคาไม่ได้สูงมาก ระยะการใช้งานจะอยู่ที่ 7,000 – 10,000 กิโลเมตรโดยประมาณ
3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Full Synthetic)
เป็นน้ำมันเครื่องที่ผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงทำให้น้ำมันเครื่องที่ได้จะมีความบริสุทธิ์ มีคุณภาพ สามารถทนความร้อนได้สูงที่สุด มีฟิล์มน้ำมันหนาแน่นกว่า ระเหยได้ยาก นิยมใช้กับรถที่มี สมรรถนะสูง รวมถึงมีราคาสูงด้วย ระยะการใช้งานจะอยู่ที่ 10,000 -15,000 กิโลเมตรโดยประมาณ
อย่างที่บอกไปข้างต้น หากไม่อยากเสียเงินซ่อมแซมรถยนต์บ่อยๆ อยากใช้งานรถไปได้นานๆ การดูแลรักษาเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นประจำ อะไรที่ต้องเปลี่ยน ต้องเช็กก็ควรทำตามระยะที่กำหนด รวมถึงควรทำประกันรถยนต์เพื่อเป็นหลักประกันความเสี่ยง เพิ่มความมั่นใจในทุกๆ การขับขี่ สำหรับผู้ขับขี่ที่กำลังมองหาประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มค่า ในราคาประหยัด แนะนำให้ทำประกันรถยนต์ผ่าน Rabbit Care เพราะนอกจากจะการันตรีเรื่องราคา ยังมาพร้อมสิทธิพิเศษอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชม. บริการเช่ารถสำรองเมื่อรถเข้าศูนย์ ฟรี 3 วัน บอกเลยว่าคุ้มค่ามากๆ สนใจทำประกันรถยนต์สามารถเข้าไปได้ที่ www.rabbitcare.com สมัครง่าย เคลมไว้ มีศูนย์บริการทั่วประเทศ